ว่ากันว่า สมุนไพร พญายอ รักษาโรคเริม ได้

   
พญายอ สมุนไพรไทยที่ใครหลายคนอาจจะคุ้นและไม่ค่อยจะคุ้นเคยกันนัก เอาเป็นว่า วันนี้เรามาทำความรู้จักกับ สมุนไพร พญายอ รวมทั้งสรรพคุณและประโยชน์ทางยาของเจ้า สมุนไพรพญายอ กันเลยค่ะ สมุนไพรพญายอ หรือพญาปล้องทอง เป็นพืชที่หาได้ทั่วไปพญาปล้องคำ เมื่อต้นแก่จัดจะมีข้อปล้องเป็นสีเหลืองทอง พญายอนับเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณ เด่นมากในเรื่องผิวหนัง โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ เริ่มมีการใช้สมุนไพรพญายอครั้งแรก ในการรักษาโรคเริม งูสวัด แผลในปากมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2529 ในรูปแบบของทิงเจอร์และกรีเซอรีนซึ่งนับเป็นโรงพญาบาลแห่งแรกที่มีการนำ สารสกัดจากสมุนไพร พญายอมาใช้ ผลงานการวิจัย สมุนไพรพญายอ มีผู้ทำการศึกษาและรายงานว่า ใบพญายอสามารถลดอาการอักเสบ ซึ่งเกิดจากการฉีดคาร์ราจีแนนในหนูขาวได้ดีมากเป็นข้อมูลสนับสนุนว่า ใบพญายอสามารถระงับอาการอักเสบจากพิษแมลงสัตว์กัดต่อยและเริม กองวิจัยและพัฒนาสมุนไพรร่วมกับสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ สาธารณสุขกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้ศึกษาฤทธิ์ของสารสกัดจาก ใบพญายอ ในหลอดทดลองต่อเชื้อไวรัส HSV-2 ซึ่งเป็นสาเหตุการเกิดโรคเริม พบว่าสารสกัดจากใบพญายอมีฤทธิ์ในการทำลายเชื้อไวรัสได้สูง
วิธีใช้ตามภูมิปัญญาไทย สมุนไพรพญายอ - การใช้พญายอรักษาอาการเนื่องจากแมลงกัดต่อย, เริม ใช้ใบขยี้ทาบริเวณที่ถูกแมลงสัตว์กัดต่อย
หรือเป็นเริม
- ใบพญายอรักษาอาการอักเสบเฉพาะที่ (ปวด บวม แดง ร้อน แต่ไม่มีไข้) จากแมลงมีพิษกัดต่อย เช่น ตะขาบ แมงป่อง ผึ้ง ต่อ แตน เป็นต้น โดยเอาใบสด 10-15 ใบ (มาก น้อยตามบริเวณที่เป็น) ล้างให้สะอาดใส่ลงในครกยาตำให้ละเอียดเติมเหล้าขาวพอชุ่มยาใช้น้ำและกาก พอกบริเวณที่บวมหรือถูกแมลงกัดต่อยใช้ทาซ้ำบ่อยๆจนกว่าจะหาย
- รักษาโรคเริมและงูสวัด โดยเอาใบสด 10-15 ใบ (มากน้อยตามบริเวณที่เป็น) ล้างให้สะอาดใส่ ลงในครกยาตำให้ละเอียดตักใส่ภาชนะที่สะอาดและเติมเหล้าขาวหรือแอลกอฮอล์พอ ท่วมยา ปิดฝาให้มิดชิดตั้งทิ้งไว้หนึ่งสัปดาห์หมั่นคนยาทุกวันกรองน้ำยาและเก็บไว้ ในภาชนะที่สะอาด นำน้ำยาทาบริเวณที่ปวดบวม หากเป็นมากใช้กากพอกบริเวณที่เป็นได้

ช่วงที่อาการเริมที่ปาก กำเริบง่ายที่สุด

  

 เมื่อย่างเข้าสู่ฤดูร้อนช่วงเดือนเมษายน อากาศร้อนอบอ้าวแบบนี้มีส่วนทำให้เชื้อโรคต่างๆเจริญเติบโตได้ดี และ ยิ่งทำให้คนเราเจ็บป่วยได้ง่ายหากเราไม่มีการดูแลสุขภาพตัวเอง โรคเริม เป็นอีกหนึ่งโรคที่หลายๆ คนเคยเป็นและก็มีหลายๆ คนยังไม่เคยเป็น เริมจะเกิดขึ้นโดยที่ไม่แสดงอาการประมาณว่าอยู่ดีๆ ก็เป็น และแถมยังไม่มีอาการบอกล่วงหน้า ทำให้หลายๆ คนสงสัยกันมากว่า เกิดจากสาเหตุใด และโรคเริมที่ปาก ก็เป็นหนึ่งในนั้นที่อาจย้อนกลับมาเล่นงานคุณก็เป็นได้ เริมที่ปาก herpes labialis เป็นโรคติดเชื้อที่ผิวหนังและเยื่อบุบริเวณปาก โดยมีลักษณะเป็นตุ่มใสๆเล็กๆ บริเวณริมฝีปาก ปาก เหงือกและมีอาการปวด แสบ คัน รอบปาก จากนั้นตุ่มน้ำใสจะแตกออกและตกสะเก็ด เริมเกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่เรียกว่า เฮอร์ปีส์ ซิมเพล็ก ไทป์ 1 {herpes simplex type 1 (HSV-1)} โรคเริมที่ปากมักเกิดกับเด็กหลังจากอาการหายแล้ว เชื้อไวรัสจะหลบซ่อนภายในประสาทและผิวหนังรอบบริเวณเดิมที่เคยเป็น ต่อมาเมื่อร่างกายอ่อนแอลง มีอารมณ์เครียดหรือถูกแสงแดด เชื้อไวรัสนี้จะกำเริบออกมายังบริเวณที่เคยมีอาการติดเชื้อครั้งแรก ทำให้เป็นๆ หายๆ อยู่บ่อยๆเริมเป็นโรคเรื้อรังรักษาไม่หาย คำว่าเรื้อรังในทางการแพทย์นั้นหมายความว่าระยะยาว อย่างไรก็ตามในผู้ติดเชื้อเริมส่วนใหญ่อาจจะไม่มีอาการของโรคปรากฏขึ้นเลยก็ได้ ขณะที่ผู้ติดเชื้อเริมหลาย คนอาจมีอาการกำเริบซ้ำของโรคขึ้นมาอีก กรณีผู้ติดเชื้อเริมครั้งแรกที่มีการแสดงอาการ อาการของโรคก็อาจจะกำเริบได้อีกหลาย ๆ ครั้งในเวลาต่อมา เมื่อเวลาผ่านไประยะฝังตัวของโรคจะกินเวลานานขึ้นเรื่อย ๆ (โรคไม่แสดงอาการบ่อย) โดยจะมีความรุนแรงของอาการน้อยลงเรื่อย ๆ และหายเร็วกว่าในครั้งแรก ๆ

การรักษาโรคเริมที่ปาก ด้วยยา



โดยทั่วไปแล้ว โรคเริมนี้สามารถหายได้เองโดยไม่ต้องรักษา การใช้ยาต้านไวรัสไม่ได้ช่วยให้หายขาด เพียงแต่ช่วยลดความรุนแรงของโรค ลดความถี่และลดระยะเวลาที่เป็นช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น เว้นเสียแต่ในรายที่เพิ่งเริ่มแสดงอาการ หรือมีภูมิต้านทานบกพร่อง หรือไม่มีแนวโน้มที่แผลจะหายได้เอง จึงควรที่จะได้รับยาต้านไวรัสที่จำเพาะกับโรค ร่วมไปกับยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนที่อาจติดตามตุ่มน้ำที่แตกออกมา
1. ยาทาที่นิยมใช้ ได้แก่ Acyclovir จะได้ผลในด้านลดอาการปวด ทำให้ผื่นแห้งเร็วขึ้น ยาทาซึ่งมีส่วนผสมของ steroid ไม่ควรใช้เพราะแผลจะหายช้า
2. ยาชนิดรับประทาน ได้แก่ Acyclovir, Valacyclovir, Famciclovir นิยมใช้ในกรณีสำหรับผู้ที่มักจะกลับเป็นซ้ำได้บ่อย

วิธีป้องกัน โรคเริมที่ปาก




พยายามเลี่ยงสิ่งที่จะสัมผัสผิวหนัง เช่น ดื่มน้ำแก้วเดียวกันกับเพื่อน, ใช้ช้อนเดียวกันทานด้วยกัน,จูบปากในขณะที่แฟนมีตุ่มน้ำที่ปาก ไม่ทานครีมเทียม มาการีน เนยขาว เนยเทียม ขนมกรุบกรอบ ไม่รับประทานอาหารที่มีไขมันมาก โดยเฉพาะของทอด ไม่ดื่มเหล้า เบียร์ แอลกอฮอล์ทุกชนิด เพราะจะทำให้ภูมิต้านทานของร่างกายลดน้อยลง ทำให้ติดเชื้อไวรัสได้ง่ายขึ้น หรือถ้าเป็นโรคนี้อยู่แล้ว ก็จะมีอาการของโรคแย่ลง ระยะเวลาเป็นโรคนานขึ้น หรือกลับมาเป็นซ้ำได้บ่อยยิ่งขึ้น วิธีที่ดีที่สุดต้องอาศัยภูมิคุ้มกันในร่างกายของเราทำให้ไวรัสสงบลง คือไม่เครียด พักผ่อนให้เพียงพอ อาจหายเองได้ใน 2-3 วัน ไม่นอนดึกหมั่นออกกำลังให้ร่างกายแข็งแรง รับประทานอาหารผักผลไม้ที่มีประโยชน์ และที่สำคัญหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแผลเพราะจะทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคเริม อย่างมาก

จำแนกอาการของเริมที่ปาก


1. การเป็นครั้งแรก Primary Infection เริ่มด้วยอาการปวดแสบร้อน อาจมีอาการคัน เจ็บจี้ดๆหรือปวดแสบปวดร้อนบ้าง ต่อมาจะมีอาการบวมและอีก 2-3 วันจะมีตุ่มน้ำพองใสเหมือนหยดน้ำเล็กๆ มีขอบแดง ตุ่มน้ำมักจะแตกออกใน 24 ชั่วโมงและตกสะเก็ดเป็นแผลถลอกตื้นๆ ตุ่มอาจจะรวมเป็นกลุ่มใหญ่และเป็นแผลกว้างทำให้ปวดมาก โดยทั่วไปหากรักษาความสะอาดได้ดีไม่ให้ติดเชื้อซ้ำหรือมีหนอง แผลที่เกิดจากตุ่มจะหายเองได้ใน 2-3 สัปดาห์ ตำแหน่งที่พบได้บ่อยได้แก่ ปาก ริมฝีปาก ตา เมื่อแผลแห้งแล้วจะไม่ติดต่อ ระหว่างที่เป็นผื่นต่อมน้ำเหลืองใกล้ๆเช่นรักแร้หรือขาหนีบอาจจะโต และอาจจะมีไข้ปวดเมื่อยตามตัวได้ หลังจากนั้นจะเข้าสู่ระยะปลอดอาการ Latency and Shedding ช่วงนี้เชื้ออยู่ในร่างกายโดยที่ไม่เกิดอาการอะไรเลยเหมือนปกติทั่วไป แต่เชื้อก้ออาจจะแบ่งตัวและสามารถติดต่อได้โดยเฉพาะเชื้อที่อวัยวะเพศแม้ว่าจะไม่มีผื่น
2. การกลับมาเป็นซ้ำ Recurring Infections เมื่อมีการติดเชื้อครั้งแรกแล้ว หลังจากนั้นจะมีการกลับเป็นผื่นใหม่เป็นระยะๆ เนื่องจากร่างกายกำจัดเชื้อไวรัสได้ไม่หมด การกลับมาเป็นใหม่ของโรคเริมแต่ละครั้งมักมีอาการน้อยกว่าและเป็นเกิดเป็นพื้นที่น้อยกว่าไม่ค่อยมีไข้ แต่มักเป็นบริเวณใกล้ๆกับที่เดิมโดยเฉพาะที่อวัยวะเพศ ผู้ที่เป็นโรคนี้มาแล้วมักรู้สึกว่ามี “อาการเตือน” นำมาก่อน ได้แก่ตุ่มน้ำมาก่อน 1–3 วัน เจ็บเสียวแปลบๆ คันยุบยิบ ปวดแสบปวดร้อนในบริเวณรอยโรคเดิม การเป็นเริมครั้งถัดๆ มา จะไม่ใช่เป็นการติดเชื้อใหม่ แต่เป็นเชื้อเดิมที่หายแล้วแต่จะซ่อนตัวอยู่ในบริเวณปมประสาทที่อยู่ใกล้เคียงในร่างกายคุณ เมื่อมีการกระตุ้น ก็จะย้อนแนวเส้นประสาทออกมาแสดงอาการได้อีก

อีกหนึ่ง สาเหตุของเริม




สาเหตุที่แท้จริงของเริมที่ปากยังไม่ชัดเจน แต่เมื่อไวรัสเข้าสู่ร่างกายก็กระตุ้นให้เกิดโรคได้ โรคดังกล่าวมักพบน้อยลงหลังอายุ 35 ปีไปแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เป็นอีกเลย สาเหตุเบื้องต้นที่มักพบการเกิดจากร่างกายเราอ่อนแอก็นำพามาสู่ซึ่งโรคเริมได้ ไม่ได้พักผ่อน นอนหลับไม่เพียงพอ การจูบกับบุคคลที่ปากเป็นแผลที่มีเชื้อไวรัสของโรคเริม ทำให้เกิดโรคเริมที่ปาก ภาวะที่มีความเครียดช่วงที่ร่างกายมีอาการเจ็บป่วย เช่น เป็นหวัด หรือไข้หวัดใหญ่ ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง เกิดอาการอ่อนเพลีย การขาดสารอาหาร เกิดความวิตกกังวล ล้วนเป็นสาเหตุให้เกิดเริมได้ทั้งสิ้น

แนะนำ ยาทาเริมที่ปาก

ช่วงนี้หลายคนคงต่างต้องทำงานหนักเพราะสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป การแข่งขันระหว่างคนรุ่นเก๋า กับ เด็กรุ่นใหม่ที่จบป.ตรี ออกมามากจนทำให้ตลาดแรงงานนั้นเต็มไปด้วย มีแต่คนว่างงาน คนรุ่นเก่า ยังเก็บเงินตั้งตัวยังไม่ได้เลย ต้องมาดิ้นรน ไฟจ่อตูดเพื่อเร่งสร้างผลงาน เพื่อความอยู่รอดของชีวิตการทำงาน ประกอบกับ คนกรุงทุกวันนี้พักผ่อนน้อย นอนดึก ตื่นเช้า เนื่องจากสภาพการจราจรที่เป็นอยู่นี้มันติดซะเหลือเกิน บางคนชักหน้าไม่ถึงหลังจะต้องหารายได้เสริมยากดึก เลยลืมคิดไปว่า พวกเรานั้นีชีวิต และนี่ก็เป็นเหตุผลของการเกิด โรคเริมที่ปาก หากมีการติดเชื้อ ซึ่งการพักผ่อนน้อย อ่อนเพลียนี่แหละคือจุดอ่อนที่จะทำให้เกิดเริ่มที่ปากได้เลย
วันนี้จะมาแนะนำ ยาที่ใช้ทาเมื่อเป็นเริมที่ปาก


พอรู้ว่าจะเป็น (เริ่มบวมมานิดๆ) แนะนำให้กินยา Vilerm ชนิดเม็ดก่อนเลยครับ กินทุก 4 ชม.
และพยายามที่อากาศร้อน อับ ไม่สบายตัว เพราะจะเป็นการกระตุ้นไวรัส ถ้าเป็นไปได้ใช้น้ำ
เเข็งจี้ตาม คห. บนได้เลยครับ ไม่เกิน 1 วันยุบหายไปแน่นอน (ผมพกยา Vilerm ติดบ้านไว้ตลอด)


ส่วนอีก 2 ตัว ไม่เคยใช้ แต่มีคนเค้าแนะนำมา ว่าใช้ดีเหมือนกัน


บทความที่ได้รับความนิยม